“ลงมา” ปริญญ์ตะคอกเสียงดังแข่งกับเสียงคลื่นและสายลมแรง
ไม่รู้เป็นเพราะเมาแดดตอนเที่ยงวันรึเปล่า เสียงของปริญญ์ถึงได้เหี้ยมเกรียมหนักข้อขึ้นเรื่อย...แต่ไม่ว่าเขาจะเป็นปริญญ์คนเก่าหรือคนใหม่ เธอก็จะไม่มีวันก้มหัวอ่อนข้อให้เขาเด็ดขาด
“หรืออยากจะนอนอยู่บนเรือนั่น รอให้พวกชาวประมงลากเอาไปทำเมียอยู่บนเรือหาปลา” ฟังจากประโยคที่ได้ยิน เธอเชื่อว่าเขาบ้าไปแล้วจริงๆ
“ทำไมคุณต้องพูดจาแย่ๆ แบบนี้กับฉันด้วย” ทั้งเจ็บใจทั้งโมโห ยกฝ่ามือหวังจะฟาดลงไปที่แขนล่ำสัน
“ถ้าพล่ามจบแล้วก็ก้าวขาลงมาจากเรือซะที แดดมันร้อน อย่าให้ผมต้องออกแรงมาก”
ศศิภาถึงกับเข่าอ่อนทรุดลงไปนั่งบนพื้นเรืออีกครั้ง...ปริญญ์เป็นอะไรของเขา เธอคิดว่าสามสี่ชั่วโมงที่คุยกันเมื่อคืนจนรุ่งเช้าเขาเคลียร์และเข้าใจเธอหมดทุกอย่างแล้วซะอีก
“จะลงมาดีๆ หรือต้องให้ทดสอบพละกำลัง ตัวเล็กผอมกะหร่องก่องอย่างคุณ ผมใช้แขนข้างเดียวจับเหวี่ยงลงทะเลให้ฉลามกินยังได้” ตอนนี้เขามาหยุดนั่งชันเข่าอยู่ตรงหน้า เย้ยหยันให้เธอเจ็บใจเล่นๆ
“ถ้าอยากไปอยู่ในท้องปลาฉลามก็บอกนะ” ปริญญ์ก้มหน้าลงต่ำ อุ้งมือแข็งแรงทั้งสองข้างจับไหล่บอบบางให้ยกระดับขึ้นมาอยู่ในท่านั่งตัวตรง
“คุณมันบ้าไปแล้ว...ฉันเกลียดคุณ อย่ามาแตะต้องตัวฉัน” พยายามบิดไหล่หนี แต่มันไม่สามารถขยับได้จริงๆ มือขาวสะอาดแต่แข็งแกร่งนั้นแทบจะบีบให้กระดูกเธอแหลกละเอียด
“คนไม่มีสัจจะ พูดจาเชื่อถือไม่ได้ ไอ้คนปลิ้นปล้อน คนหลอก...ลวง” เสียงที่ตะโกนต่อว่าเขาปาวๆ ดังแข่งกับเสียงคลื่นที่สาดซัดหยุดหายไปราวกับคลื่นความถี่ถูกดูดสัญญาณ
ในที่สุดปริญญ์ก็ทนต่อแรงยั่วยุพูดจาหมิ่นประณามเขาสารพัดไม่ไหว จัดการแนบริมฝีปากแข็งกระด้างเบียดชิดริมฝีปากสีสด หวังจะปราบพยศให้เธอรู้จักเขามากขึ้น
จากจูบดุดันแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนหวานนุ่มนวล เมื่อฝ่ายที่เริ่มใช้ความดิบเถื่อนสัมผัสได้ว่าผู้หญิงในอ้อมกอดแทบจะหมดแรงลงไปทรุดกองกับพื้น...นานนับหลายนาทีที่เขาถอนจูบอย่างตัดใจ แต่คนในวงแขนก็ยังหลับตาพริ้ม เผยอปากอย่างไร้สติ ควบคุมตัวเองให้กลับมาปกติดังเดิมยังไม่ได้
“นี่คือบทลงโทษชั้นอนุบาล เป็นการเตือนขั้นเบื้องต้น ว่าต่อไปอย่ามาทำเสียงแข็งใส่ผม” เสียงกระซิบเย้ยหยันดังแผ่วติดหู
เขาแบกร่างเธอลงไปจากเรือเพื่อพาไปหยุดยืนอยู่บนพื้นทราย เธอไม่เหลือกำลังหรือสติจะต่อต้านขัดขืนเขา ยังรู้สึกราวกับว่าหน้าของตัวเองร้อนผ่าวจากจูบแรกที่เป็นการปราม
“พวกเก่งไม่จริง แค่นี้ก็จะเป็นลมล้มพับซะแล้ว แล้วอย่างนี้แผนการมากมายที่คุณวางไว้ในหัวจะสำเร็จได้ไง...ถ้าเรื่องแค่นี้ยังทานผมไม่อยู่” แม้จะยืนทรงตัวโงนเงนง่อนแง่น แต่เมื่อได้ยินวาจาถากถางแบบนี้ทำให้เธอทนอยู่นิ่งเฉยไม่ไหว
“คิดว่าฉันจะปล่อยให้คุณทำร้ายอยู่ฝ่ายเดียวรึไง” เมื่อทรงตัวยืนได้มั่นคง ศศิภาก็ขยับถอยห่างเขาออกไปราวสามสี่ก้าว ก้มลงกำทรายสีขาวละเอียดที่ล้อมรอบบริเวณที่ยืนอยู่ ปาใส่หน้าเขาชนิดที่ปริญญ์ไม่ทันได้ตั้งตัว
“อ๊ะ...หยุดเดี๋ยวนี้นะเอ๋ย...โอ๊ย ผมบอกว่าให้หยุดเดี๋ยวนี้ไม่ได้ยินรึไง”
ทรายกำแล้วกำเล่าถูกปาใส่หน้าปริญญ์ เขายกแขนขึ้นสูงเพื่อปกป้องไม่ให้มันปลิวเข้าตา ในขณะเดียวกันก็พยายามฝ่าพายุทรายขนาดย่อมที่โหมเข้าใส่ หวังบุกเข้าไปจับตัวศศิภาให้ได้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++